3 วัน 2 คืน บุรีรัมย์ – นครราชสีมา…เที่ยว 3 ปราสาทหิน เยือนถิ่นภูเขาไฟ

  • อ่าน (6,602)
  • ByWebmaster
  • 17:05:39 | 5 มี.ค. 2564

3 วัน 2 คืน บุรีรัมย์ – นครราชสีมา…เที่ยว 3 ปราสาทหิน เยือนถิ่นภูเขาไฟ

             ทริปนี้ Palanla จะพาทุกคนท่องเที่ยวไปยัง 2 จังหวัดของภาคอีสานที่มีชื่อเสียงในเรื่องของปราสาทหินและในอดีตเป็นบริเวณที่เคยมีภูเขาไฟมาก่อน ได้ยินเช่นนี้แล้วหลายๆ คนอาจจะพอนึกออก เพราะเราจะพาออกเดินทางไปที่จังหวัดบุรีรัมย์และนครราชสีมา จังหวัดหลังเป็นชื่อที่ฟังแล้วอาจให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากกว่าเพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ทว่าบุรีรัมย์เองก็ไม่ถือว่าห่างไกลเพราะสองจังหวัดนี้อยู่ติดกันเลยนั่นเอง เรียกว่าหากไปถึงนครราชสีมาขับรถต่อไปอีกหน่อยก็เข้าเขตบุรีรัมย์แล้ว

             สำหรับทริปนี้เราจะพาพุ่งตรงไปที่บุรีรัมย์ก่อนแล้วค่อยๆ วนกลับมาเที่ยวนครราชสีมา เวลา 2 วัน 3 คืนที่มีอาจฟังดูสั้นแต่รับรองว่าพอสำหรับการเก็บสถานที่เที่ยวเด่นๆ น่าสนใจของทั้งสองจังหวัด โดยเฉพาะปราสาทหิน 3 แห่งที่เป็นไฮไลต์สำคัญ พร้อมแล้วก็ไปกันเลย!


แผนที่ประเทศไทย แสดงตำแหน่งของจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดนครราชสีมา


แผนที่แสดงตำแหน่งของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้ง 3 วันในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดนครราชสีมา
(โดย วันที่ 1 เส้นสีแดง วันที่ 2 เส้นสีเหลือง วันที่ 3 เส้นสีน้ำเงิน)


--- วันที่ 1 ---

(กรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ : กทม. - ปราสาทเมืองต่ำ - ปราสาทพนมรุ้ง - ถนนคนเดินเซราะกราว)


ปราสาทเมืองต่ำ

             วันแรกแรกสุดนี้เราออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่ช่วงเช้า ผ่านจังหวัดนครราชสีมาโดยมุ่งหน้าไปที่ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์ 1 ใน 3 ปราสาทหินซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญของทริปนี้ ส่วนที่เที่ยวในเขตจังหวัดนครราชสีมานั้นเราจะเก็บเอาไว้ในวันกลับเนื่องจากที่เที่ยวต่างๆ จะอยู่เส้นทางฝั่งที่เป็นขาเข้ากรุงเทพฯ พอดี จากกรุงเทพฯ ถึงปราสาทเมืองต่ำเรา ใช้เวลาเดินทางราวๆ 6 ชั่วโมง 20 นาที กับระยะทาง 368 กิโลเมตร เรียกว่าหากออกจากกรุงเทพฯ กันตั้งแต่หกโมงเช้าก็จะมาถึงปราสาทเมืองต่ำในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เลยหัวไปนิดหน่อย

             ปราสาทเมืองต่ำ (Mueng Tam Stone Sunctuary) เป็นศาสนสถานที่มีลักษณะเป็นปรางค์ก่ออิฐ 5 องค์ เรียงเป็นสองแถวที่สร้างตามคติความเชื่อทางศาสนาฮินดู สันนิษฐานว่าปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 -17 เพื่อบูชาพระศิวะซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานเดียวกันกับการสร้างปราสาทพนมรุ้ง จากหลักฐานทางโบราณคดียังพบว่ามีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนขนาดใหญ่อยู่บริเวณนี้ เนื่องจากมีการค้นพบโบราณวัตถุและเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ในการดำรงชีวิตประจำวันของคนในสมัยโบราณ ลักษณะที่โดดเด่นของปราสาทเมืองต่ำคือ มีการจำหลักส่วนต่างๆ ด้วยลวดลายอันประณีตสวยงาม และมีสระบารายขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่าทะเลเมืองต่ำ ซึ่งนับเป็นความสามารถอันน่าทึ่งทางสถาปัตยกรรมของคนสมัยโบราณที่หาชมได้ยาก

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 14°29'46.4"N 102°58'56.5"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ปราสาทเมืองต่ำ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=271


ปราสาทพนมรุ้ง

             จากปราสาทเมืองต่ำเราก็ขับรถมาต่อกันที่ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทหินสำคัญอีกแห่งที่เราปักหมุดไว้อย่างไม่อาจพลาดในทริปนี้ เพราะจะเป็นช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ตกส่องแสงลอดช่องประตูทั้ง 15 บานให้ได้ชมพอดี ระยะทางจากปราสาทเมืองต่ำมายังปราสาทพนมรุ้งนั้นก็ไม่ไกลกันมาก เพียง 8.2 กม.เท่านั้น

             ปราสาทพนมรุ้ง (Panom Rung Historical Park) ปราสาทหินเก่าแก่ศิลปะขอมที่มีอายุผ่านกาลเวลามาร่วมพันปี จากการรังสรรค์ด้วยภูมิปัญญาอันแยบยลของคนโบราณที่ถ่ายทอดความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาฮินดูไศวนิกาย ผ่านลายสลักบนหินนับร้อยนับพันก้อนอย่างวิจิตรงดงาม จนเกิดเป็นเทวสถานอันยิ่งใหญ่บนยอดภูเขาไฟสูงที่ดับสนิทแล้วของจังหวัดบุรีรัมย์ นอกจากความงดงามและยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมแล้ว ความน่าอัศจรรย์ของปราสาทพนมรุ้งคือ ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ส่องแสงลอดช่องประตูทั้ง 15 บาน โดยในหนึ่งปีจะมีเพียง 4 ครั้งเท่านั้น ซึ่งเชื่อกันว่าการรับแสงอาทิตย์ที่สอดส่องผ่านช่องประตู และแสงอาทิตย์ที่ไปต้องกับศิวลึงค์ซึ่งเป็นตัวแทนของพระศิวะที่ตั้งอยู่กลางปราสาทเขาพนมรุ้งนั้น เป็นการเสริมพลังชีวิตและสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้ชม

เวลาทำการเปิด – ปิดเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00 - 18.00 น.

พิกัด GPS : 14°31'54.4"N 102°56'25.0"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ปราสาทพนมรุ้ง ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=270


ถนนคนเดินเซราะกราว

             หลังจากแสงอาทิตย์ได้อำลาช่องประตูทั้ง 15 บานไปแล้ว เราก็เดินทางออกจากปราสาทพนมรุ้ง มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองบุรีรัมย์ซึ่งจะเป็นที่พำนักของเราในค่ำคืนนี้ ด้วยระยะทาง 63 กิโลเมตรกว่าๆ พวกเราก็เดินทางมาถึงตัวจังหวัดบุรีรัมย์ สำหรับสถานที่ที่เหมาะแก่การเดินเล่น หาของอร่อยๆ รับประทานในคืนวันเสาร์เช่นนี้ ไม่น่าจะมีที่ใดที่เหมาะไปกว่าถนนคนเดินเซราะกราว ถนนคนเดินยอดฮิตใจกลางเมืองบุรีรัมย์ที่จัดขึ้นทุกๆ วันเสาร์และอาทิตย์

             ถนนคนเดินเซาะกราว (Sroew Ground Walking Street) ถนนคนเดินสายวัฒนธรรม ความยาว 1 กิโลเมตรที่จัดขึ้นบนถนนพิทักษ์บริเวณด้านหน้าจวนผู้ว่าทุกๆ บ่ายวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น. ไปจนถึง 22.00 น. เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีบรรยากาศคึกคักเหมาะแก่การมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ละลานตาด้วยของกิน ของใช้ สินค้าพื้นเมืองและงานฝีมือเก๋ๆ ที่มีให้เลือกซื้อเลือกชมกันอย่างเพลิดเพลินจาก 300 กว่าร้านค้า ว่ากันว่าเมื่อนักท่องเที่ยวมาเยือนถนนคนเดินสายนี้แล้วจะได้เห็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเมืองบุรีรัมย์ที่ดีที่สุดจากที่นี่    

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 17.00 - 22.00 น.

พิกัด GPS : 14°59'45.3"N 103°06'29.5"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ถนนคนเดินเซาะกราว ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=351                                   


--- วันที่ 2 ---

(บุรีรัมย์ – นครราชสีมา : พระบรมบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 - บุรีรัมย์คาสเซิล - วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง -  อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย - อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี)


พระบรมบรมราชานุสาวรีย์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1)

             เมื่อมาถึงจังหวัดบุรีรัมย์แล้วสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวสถานที่แห่งอื่นๆ กันต่อ ก็คือการแวะไปสักการะพระบรมบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 เพื่อความเป็นสิริมงคลกันสักนิด ซึ่งหลายๆ คนอาจไม่ทราบว่าพระองค์ทรงมีความสำคัญต่อจังหวัดบุรีรัมย์อย่างไรจึงได้มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประดิษฐานอยู่ใจกลางเมืองเช่นนี้

             พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (The Monument of King Rama I) ตั้งอยู่บริเวณวงเวียนช้าง ใจกลางเมืองบุรีรัมย์ เป็นพระรูปขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ ฉลองพระองค์แบบนักรบตามขัตติยราชประเพณีโบราณประทับบนช้างศึก พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยการร่วมแรงร่วมใจของชาวบุรีรัมย์เพื่อเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงก่อตั้งเมืองบุรีรัมย์ขึ้นเมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก

เวลาทำการเปิด – ปิดเปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 14°59'12.2"N 103°06'15.8"E      

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=272


บุรีรัมย์คาสเซิล

ห่างจากพระบรมบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 เพียง 3.8 กิโลเมตรคือที่ตั้งของบุรีรัมย์คาสเซิล หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญแห่งล่าสุดของจังหวัดบุรีรัมย์ที่ใครมาก็เที่ยวจังหวัดนี้ก็จะต้องไม่พลาด ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรมปราสาทหินจำลองที่สร้างขึ้นตามแบบปราสาทหินพนมรุ้ง บวกกับความทันสมัยครบวงจร มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ในลักษณะคอมมูนิตี้มอลล์ ทำให้เราต้องขอถือโอกาสแวะไปเยี่ยมชมเช่นกัน

บุรีรัมย์คาสเซิล (Buriram Castle) สถานที่ท่องเที่ยวครบวงจรแห่งใหม่ของบุรีรัมย์ที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่น ออกแบบโดยอิงรูปแบบจากหมู่บ้านชุมชนรอบปราสาทหินพนมรุ้ง ด้วยเงินลงทุนกว่า 370 ล้านบาท มีทั้ง "ปราสาทสายฟ้า" ที่ก่อสร้างตามรูปแบบของปราสาทขอมในอดีตด้วยความประณีต ละเอียดลออ รวมถึงยังมีการคำนวณพระอาทิตย์ตกส่องผ่านประตูเช่นเดียวกับปราสาทหินพนมรุ้งด้วย ภายในปราสาทเป็นหอเกียรติยศที่เก็บถ้วยรางวัลต่างๆ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวบุรีรัมย์เอาไว้ นอกจากนี้ยังมี "สวนศิวะ 12" สวนสาธารณะที่เป็นพื้นที่สีเขียวผืนใหม่ของบุรีรัมย์ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "มหาศิวลึงค์" ทำจากหินทรายความสูงกว่า 9 เมตร ซึ่งเป็นศิวลึงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

เวลาทำการเปิด – ปิดเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00 - 21.00 น.

พิกัด GPS : 14°57'60.0"N 103°05'31.9"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บุรีรัมย์คาสเซิล ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=353


วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง

             จากบุรีรัมย์คาสเซิลเราจะพาไปต่อกันที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงที่อยู่ห่างออกไปราวๆ 4.7 กิโลเมตร ถือว่าใกล้มากๆ จากตัวเมือง สำหรับผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติๆ ขึ้นมาอีกหน่อย ซึ่งชื่อเสียงอันเป็นที่รู้จักของที่นี่ก็คือปากปล่องภูเขาไฟในอดีตที่ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นเป็นแอ่งลึกได้ชัดเจนในปัจจุบัน เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าสนใจที่หากไม่ได้มาแล้วก็เหมือนยังมาไม่ถึงบุรีรัมย์  

             วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง (Khao Kradong Forest Park) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจและศึกษาประวัติศาสตร์ ธรณีวิทยาและชีววิทยาที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์ ที่สำคัญคือเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟอายุ 3 แสนถึง 9 แสนปีที่ยังคงปรากฏร่องรอยปากปล่องเป็นแอ่งลึกให้เห็นได้ชัดเจนแม้ว่าจะดับสนิทแล้วก็ตาม รอบๆ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้พื้นเมืองน่าศึกษาหลายชนิด รวมถึงผลของต้นโยนีปีศาจซึ่งเป็นพันธุ์ไม้หายากที่มักพบในบริเวณเขตภูเขาไฟ รวมทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าขนาดเล็กโดยเฉพาะนกนานาชนิด รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าเต็งรังครอบคลุมพื้นที่ราว 1,450 ไร่ด้วย

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 8.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 14°56'25.4"N 103°05'34.6"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=274


อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย

             เราใช้เวลารื่นรมย์กับธรรมชาติที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนที่ล้อจะต้องหมุนมุ่งสู่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยมีปลายทางอยู่ที่อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย หรือปราสาทพิมาย ซึ่งเป็นปราสาทหินสำคัญแห่งที่ 3 ของทริปนี้ ด้วยระยะทางกว่า 90 กิโลเมตรกับการเดินทางเกือบๆ 2 ชั่วโมง ก็นำเรามาถึงอุทยานประวัติศาตร์พิมาย

             อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย (Phimai Historical Park) เป็นที่ตั้งของปราสาทหินเลื่องชื่อใจกลางเมืองพิมาย ซึ่งถือเป็นเมืองโบราณที่สำคัญของภูมิภาคและเป็นปราสาทหินใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างด้วยรูปแบบศิลปกรรมขอมแบบบาปวนผสมผสานกับศิลปะแบบนครวัดที่มีความงดงาม จากหลักฐานศิลาจารึกและศิลปะการสร้างบ่งบอกว่าปราสาทหินพิมายเริ่มสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ประมาณช่วงศตวรรษที่ 16 สำหรับเป็นพุทธสถานในลัทธิมหายาน และยังเชื่อกันว่าปราสาทหินแห่งนี้เป็นต้นแบบในการสร้างนครวัดที่เขมร  

เวลาทำการเปิด – ปิดเปิดทุกวัน เวลา 07.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 15°13'12.1"N 102°29'31.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=278


อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

             ดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมและความน่าอัศจรรย์ของปราสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยกันไปอย่างเต็มอิ่มแล้ว เพื่อไม่ให้เย็นย่ำมากนักกับระทางอีก 61 กิโลเมตรกว่าๆ ที่ยังรอเราอยู่ พวกเราก็ไม่รีรอชักช้า ขับรถออกจากอำเภอพิมายเข้าตัวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งวันที่สองนี้เราก็จะพักค้างคืนกันที่เมืองย่าโมกันด้วย และแน่นอนว่าสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยเมื่อมาถึงเมืองย่าโมก็คือแวะไปกราบสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีหรือย่าโมซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวโคราชนั่นเอง

             อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (Thao Suranari Monument) หรือ อนุสาวรีย์ย่าโม สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477  ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดนครราชสีมา สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของคุณหญิงโม วีรสตรีไทยที่ถือเป็นสามัญชนคนแรกในประวัติศาสตร์การสู้รบของชาติ ที่ครั้งหนึ่งเคยนำชาวบ้านเข้าสู้รบอย่างกล้าหาญกับทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ที่ยกเข้ามายึดเมืองโคราช จนสามารถปกป้องบ้านเมืองเอาไว้ได้ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เป็นรูปหล่อทองแดงรมดำของท้าวสุรนารีหรือย่าโมแต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทานในท่ายืน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอว หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงเทพมหานคร   

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิด 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 14°58'29.0"N 102°05'53.2"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=254


--- วันที่ 3 ---

(นครราชสีมา – กรุงเทพฯ : วัดหลวงพ่อโต - กังหันลมเขายายเที่ยง – ฟาร์มโชคชัย - ไร่สุวรรณ – กทม.)


มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

             วันสุดท้าย ท้ายสุดของทริปบุรีรัมย์ – นครราชสีมา หลังจากเช็คเอาท์ออกจากที่พักในตัวเมืองนครราชสีมาเป็นที่เรียบร้อยเพื่อมุ่งหน้ากลับสู่กรุงเทพฯ ระหว่างทางเราก็ถือโอกาสแวะชมและสักการะหลวงพ่อโตที่มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งเป็นทางผ่านสำหรับกลับเข้ากรุงเทพฯ อยู่แล้วพอดี เรียกว่าใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็จะต้องแวะเที่ยวที่นี่ เพราะเป็นวัดที่ทั้งสวยงามและโดดเด่นริมถนนมิตรภาพ  

             มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หรือ วัดหลวงพ่อโต (Wat Luang Pho To) ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างขวางประมาณ 150 ไร่ ริมถนนมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว นับเป็นวัดที่มีความสวยงามอีกแห่งในจังหวัดนครราชสีมา มีผู้ที่ดำเนินการก่อสร้างวัดคือคุณสรพงษ์ ชาตรี ดาราชื่อดังของเมืองไทย มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือ วัดหลวงพ่อโต เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อทองเหลืองหลวงพ่อโตขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย บริเวณโดยรอบยังมีบรรยากาศที่สวยงาม ตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ รวมถึงยังมีโรงทานที่มีไว้บริการให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้ทานฟรีอีกด้วย 

เวลาทำการเปิด – ปิดเปิดทุกวัน เวลา 6.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 14°52'20.9"N 101°44'02.8"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=340


กังหันลมเขายายเที่ยง

             จากมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขับรถเรื่อยมาตามเส้นทางถนนมิตรภาพอีกราวๆ 26 กิโลเมตรก็จะเป็นที่ตั้งของกังหันลมเขายายเที่ยง จุดชมวิวสวยงามและอากาศเย็นสดชื่นซึ่งเป็นที่ตั้งของกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สถานที่ซึ่งบอกได้เลยว่าเพราะบรรยากาศนั้นผ่อนคลาย สดชื่นดีจริงๆ

             กังหันลมเขายายเที่ยง (Khao Yai Thieng Electric Wind Turbine) เป็นกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต สร้างอยู่บนเขายายเที่ยงซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้ชื่อว่ามีศักยภาพพลังงานลมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย กังหันลมเขายายเที่ยงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากถึงปีละหลายล้านหน่วย โดยบนยอดเขาที่กังหันลมยักษ์ตั้งเรียงรายกันอยู่ยังมีภูมิทัศน์สวยงาม มีอ่างเก็บน้ำ และจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพสวยๆ ของเขื่อนลำตะคองและภูเขาที่ไล่เรียงลดหลั่นกันสวยงามด้วย

เวลาทำการเปิด – ปิดเปิดทำการทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 14°48'05.3"N 101°33'26.7"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กังหันลมเขายายเที่ยง ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=250 


ฟาร์มโชคชัย

             หลังจากที่แวะสูดอากาศบริสุทธิ์ รับลมเย็นๆ และชมวิวสวยๆ ของเขื่อนลำตะคองที่กังหันลมเขายายเที่ยงแล้ว ขับรถตามถนนมิตรภาพมาอีกเกือบๆ 43 กิโลเมตรเราก็มาแวะเที่ยวกันที่ฟาร์มโชคชัย เป็นชื่อซึ่งน้อยคนจะไม่เคยได้ยิน ที่นี่ถือเป็นหนึ่งหนึ่งจุดพักรถที่นักท่องเที่ยวนิยมจอดซื้อของกิน ของฝากผลิตภัณฑ์คุณภาพของฟาร์มโชคชัย ซึ่งไม่เพียงแต่แวะพักในช่วงเวลาสั้นๆ ของการเป็นทางผ่านเท่านั้น ใครที่ต้องการมาใช้เวลาท่องเที่ยวที่นี่กันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะทัวร์ฟาร์มหรือพักค้างคืนบรรยากาศแบบแคมป์ปิ้งก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับคณะเราขอเพียงแวะยืดเส้นยืดสายและแวะซื้อของฝากก็พอ ณ โอกาสนี้

             ฟาร์มโชคชัย (Farm Chokchai) เมื่อเอ่ยชื่อนี้คงมีน้อยคนที่จะไม่รู้จัก ดินแดนสีเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาบนเนื้อที่ผืนป่าส่วนตัวกว่า 20,000 ไร่ ริมถนนมิตรภาพ อำเภอปากช่อง ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบครบวงจรที่มีบรรยากาศสวยงาม เหมาะแก่การมาท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ มีกิจกรรมทัวร์ชมฟาร์มให้ทำมากมายไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า รีดนมวัว นั่งรถแทร็คเตอร์และรถม้าชมบรรยากาศรอบๆ ฟาร์ม ชมสุนัขต้อนฝูงแกะ ชมการแสดงโชว์คาวบอย ณ สถานที่ที่ได้รับสมญาว่าเป็นต้นแบบคาวบอยในเมืองไทยแล้ว ที่นี่ยังเป็นฟาร์มโคนมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียอีกด้วย

เวลาทำการเปิด – ปิดฟาร์มโชคชัยเปิดทุกวัน เวลา 8.00 – 17.30 น. ส่วนการทัวร์ชมฟาร์มนั้นมีเวลา คือ วันอังคาร-ศุกร์ เปิดให้เข้าชมรอบ 10.00 น. และ 14.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดให้เข้าชมรอบเช้า 10.00  / 11.00  น. รอบบ่าย 13.00  / 14.00  น.

พิกัด GPS : 14°39'17.0"N 101°20'54.9"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ฟาร์มโชคชัย ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=354


ไร่สุวรรณ

             ขับรถออกจากฟาร์มโชคชัยมา 4 กิโลเมตรกว่าๆ ก็จะเป็นไร่สุวรรณที่บริเวณทางเข้าไร่มีรูปปั้นฝักข้าวโพดสีเหลืองขนาดมหึมาตั้งตระหง่านโดดเด่น ซึ่งเป็นที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของเราในทริปนี้ก่อนจะยิงยาวเข้ากรุงเทพฯ ไม่ต้องมองหาให้ลำบากเพราะไร่สุวรรณตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพขาเข้านั่นเลย ไม่ว่าใครที่ผ่านมาผ่านไปในเส้นทางนี้ก็ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะข้าวโพดของที่นี่นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของความหวาน สด มีคุณภาพและราคายังย่อมเยา เหมาะแก่การแวะซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือที่ใครได้ชิมก็จะต้องถูกใจ

             ไร่สุวรรณ (Suwan Farm) หรือชื่อเต็มคือ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ (ไร่สุวรรณ) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นพื้นที่พัฒนาความรู้ และส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยทางด้านการเกษตร  ไร่แห่งนี้ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญสำหรับข้าวโพดหวานพันธุ์ดีรสชาติแสนรอร่อย ใครที่มีได้มีโอกาสได้ลองรับประทานก็ประทับใจและบอกเล่าต่อๆ กัน จึงทำให้ข้าวโพดหวานไร่สุวรรณเป็นที่รู้จัก และกลายเป็นจุดแวะซื้อของฝากที่ขึ้นชื่อสำหรับผู้ที่สัญจรมาในเส้นทางถนนมิตรภาพแถวปากช่อง ข้าวโพดหวานของไร่สุวรรณมีจำหน่ายทั้งแบบแปรรูปเป็นน้ำนมข้าวโพดพาสเจอร์ไรซ์บรรจุขวด ข้าวโพดต้ม และข้าวโพดฝักสดโดยที่ต้องรับบัตรคิวสำหรับการซื้อกันเลยทีเดียว  

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทำการทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.

พิกัด GPS : 14°39'08.1"N 101°18'39.3"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ไร่สุวรรณ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=251

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

5 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดยโสธร ประเทศไทย

จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของไทยที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี จังหวัดยโสธรมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมหลายแห่ง เพราะเป็นเมืองที่ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยทวาราวดี วันนี้ทาง Palanla จึงได้รวบรวมสถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดยโสธรมาฝากทุกท่านไว้ในบทความนี้

อ่านต่อ

วัดพระพุทธบาทยโสธร จังหวัดยโสธร ประเทศไทย

วัดพระพุทธบาทยโสธร (Wat Phra Buddhabat Yasothon) เป็นวัดที่มีความสวยงามจากหมู่อาคารสีขาวท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนนิยมมาเที่ยวชมวัดและสักการะโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาอันได้แก่ รอยพระพุทธบาท พระพุทธรูปปางนาคปรก และศิลาจารึกโบราณที่มีอายุราวห้าร้อยปี รวมทั้งพระพุทธรูปหยกขาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ และพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์ของวัดอีกด้วย วัดแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวัดดังของจังหวัดยโสธรที่ควรค่าต่อการมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง

อ่านต่อ

8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดในภาคอีสานตอนล่างที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่เป็นจุดชมวิวอันน่าประทับใจ ไปจนถึงแหล่งโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และวัดวาอารามที่สร้างขึ้นอย่างงดงามให้เที่ยวชม วันนี้ทาง Palanla ได้รวบรวม 8 สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดศรีเกษมาฝากทุกท่านกันในบทความนี้

อ่านต่อ

ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

ผามออีแดง (Pha Mor E Daeng) เป็นหน้าผาที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นปราสาทเขาพระวิหาร ป่าไม้ และบ้านเมืองของกัมพูชาที่อยู่ไกลออกไปได้ ในยามเช้าของช่วงปลายฝนต้นหนาวจะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงาม ส่วนในยามพระอาทิตย์ตกดินจะมองเห็นฝูงค้างคาวบินออกมาจากถ้ำเพื่อหากิน นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์ของผามออีแดงคือภาพจิตรกรรมโบราณที่ถูกสลักไว้ริมหน้าผาซึ่งมีความเก่าแก่กว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีทีเดียว ถือเป็น Unseen Thailand ที่คุ้มค่าต่อการมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง

อ่านต่อ

น้ำตกสำโรงเกียรติ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

น้ำตกสำโรงเกียรติ (Samrong Kiat Waterfall) เป็นน้ำตกที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาบรรทัด น้ำตกแห่งนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่บริเวณด้านบนหน้าผาจะมีแอ่งลานหินขนาดใหญ่รองรับธารน้ำเอาไว้ก่อนที่จะไหลตกลงมาตามชั้นหน้าผา น้ำตกสำโรงเกียรติมีน้ำไหลตลอดปี และจะมีน้ำมากที่สุดในช่วงฤดูฝน บรรยากาศโดยรอบมีความร่มรื่นจากป่าไม้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับการมาเล่นน้ำ นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และถ่ายภาพสวยๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน

อ่านต่อ

เกาะกลางน้ำ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

เกาะกลางน้ำ (Koh Klang Nam) เป็นเกาะที่อยู่ใจกลางอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำคำในอำเภอเมืองศรีสะเกษ บนเกาะแห่งนี้เป็นสวนสาธาณะขนาดใหญ่และเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญหลายแห่ง เช่น หอศรีลำดวนเฉลิมพระเกียรติที่เป็นหอชมเมืองศรีสะเกษได้รอบทิศ และศรีสะเกษอควาเรียมซึ่งเป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นี่จึงเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของจังหวัดศรีสะเกษอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวชมเป็นอย่างมาก

อ่านต่อ

วัดบุไผ่ (วัดบ้านไร่ 2) จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย

วัดบุไผ่ (วัดบ้านไร่ 2) Wat Bu Pai (Wat Ban Rai 2) เป็นวัดที่ตั้งตระหง่านบนเนินเขาในอำเภอวังน้ำเขียว ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ หรือ พระเทพวิทยาคม พระเกจิดังวัดบ้านไร่องค์ใหญ่ที่สุดในโลก

อ่านต่อ

วัดแสงธรรมวังเขาเขียว จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย

วัดแสงธรรมวังเขาเขียว (Wat Saeng Tham Wang Khao Khiao) เป็นที่ตั้งของพระมหาเจดีย์ศรีแสงธรรมวิสุทธิมงคล พระมหาเจดีย์รูปทรงดอกบัวสีขาวตั้งตระหง่านสง่างามอยู่กลางคูน้ำ ท่ามกลางสวนหย่อมสีเขียวขนาดใหญ่และแวดล้อมด้วยหุบเขาสีเขียวขจีของอำเภอวังน้ำเขียว

อ่านต่อ

ผาเก็บตะวัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย

ผาเก็บตะวัน (Pha Kep Tawan) หนึ่งในที่เที่ยววังน้ำเขียวที่เป็นจุดชมวิวที่มีทัศนียภาพสวยงาม แวดล้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เหมาะแก่การแวะมาชมวิวผ่อนคลาย หรือหากต้องการกางเต็นท์ค้างคืนก็ได้เช่นกัน

อ่านต่อ

วัดป่าโนนสวรรค์ จังหวัดร้อยเอ็ด ประเทศไทย

วัดป่าโนนสวรรค์ (Wat Pa Non Sawan) เป็นวัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดร้อยเอ็ด ภายในวัดมีความน่าตื่นตาตื่นใจของประติมากรรมปูนปั้นมากมายที่ถ่ายทอดเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติ พระธรรมคำสอน รวมถึงวรรณคดีไทยชื่อดังต่างๆ ให้ได้เดินเที่ยวชม และภายในวัดยังโดดเด่นด้วยองค์เจดีย์ขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างงดงาม รวมถึงศิลปะการตกแต่งที่ใช้หม้อดินมาประดับในส่วนต่างๆ โดยรอบจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วัดแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดร้อยเอ็ดที่ไม่ควรพลาดชม

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ